อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ มีพื้นที่ทั้งสิ้น 718 ไร่ 3 งาน ตั้งอยู่ในเขตตำบลสิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 130 กิโลเมตร อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์
อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ มีพื้นที่ทั้งสิ้น 718 ไร่ 3 งาน ตั้งอยู่ในเขตตำบลสิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 130 กิโลเมตร อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ ตั้งอยู่บนที่ราบริมฝั่งแม่น้ำแควน้อย โดยมีเทือกเขารายล้อมอยู่ทุกทิศ เช่น เขาท่าช้าง เขาพนมมาร และเขาโทน โดยด้านทิศใต้ติดต่อกับแม่น้ำแควน้อย
ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ได้เคยมีการขุดค้นพบหลักฐานหลุมฝังศพและเครื่องมือเครื่องใช้ของคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เช่น ภาชนะดินเผา ขวาน ทัพพี และกำไลสำริด ลูกปัดหิน ลูกปัดแก้ว ที่บริเวณริมแม่น้ำแควน้อยนอกกำแพงเมืองสิงห์ด้านทิศใต้ ซึ่งมีอายุราว 2,000 ปี มาแล้ว ในสมัยต่อมาของเมืองสิงห์คือ ช่วงเวลาที่มีการสร้างเมือง ปรากฏหลักฐาน ได้แก่ ตัวเมืองรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดพื้นที่ประมาณ 1 ตารางกิโลเมตร มีคูเมือง คันดิน และกำแพงเมืองศิลาแลงล้อมรอบ ที่กลางเมืองมีโบราณสถานทรงปราสาทสร้างขึ้นตามลักษณะศิลปะขอมแบบบายน และโบราณวัตถุที่เป็นประติมากรรมตามลักษณะศิลปะขอมแบบเดียวกัน ซึ่งจากลักษณะทางศิลปกรรมสามารถกำหนดอายุได้ว่าปราสาทหลังนี้น่าจะสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 18 หรือในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ปกครองกัมพูชา มีศิลาจารึกหลักหนึ่งพบที่ปราสาทพระขรรค์ มีข้อความสรรเสริญความกล้าหาญและการบุญกุศลของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และมีตอนหนึ่งกล่าวถึงชื่อเมืองต่าง ๆ 23 แห่งว่า เป็นที่ประดิษฐาน พระชัยพุทธมหานาถ ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องเมืองสิงห์และบริเวณใกล้เคียงโดยเฉพาะได้ระบุชื่อเมือง 6 เมือง ได้แก่ ลโวทยะปุระ สุวรรณปุระ ศัมพูกะปัฏฏนะ ศรีราชบุรี ศรีชัยสิงหบุรี และชัยวัชรบุรี เมืองศรีชัยสิงหบุรีก็น่าจะเป็นเมืองสิงห์ที่ตั้งปราสาทเมืองสิงห์ในจังหวัดกาญจนบุรี
เมืองสิงห์และปราสาทเมืองสิงห์คงถูกทิ้งร้างไปในช่วงที่เขมรหมดอำนาจ ไม่ปรากฏการเอ่ยชื่อถึงเมืองสิงห์อีกเลยในสมัยสุโขทัยและอยุธยา เมืองสิงห์ปรากฏหลักฐานอีกครั้งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์ได้สถาปนาเมืองสิงห์ขึ้นใหม่อีกครั้ง แต่มีฐานะเป็นเมืองหน้าด่านเล็ก ๆ มีเจ้าเมืองปกครองขึ้นอยู่กับเมืองกาญจนบุรี จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว เมืองสิงห์ถูกลดฐานะลงเป็นตำบลเรียกกันว่าตำบลสิงห์มาจนทุกวันนี้
กรมศิลปากรได้เริ่มเข้าพัฒนาเมืองสิงห์ ตั้งแต่ พ . ศ . 2517 และต่อมาได้ดำเนินการจัดการในรูปแบบของอุทยานประวัติศาสตร์จนกระทั่งแล้วเสร็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2530 และมีพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2530
เมืองสิงห์มีผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยกเว้นด้านทิศใต้ ซึ่งติดกับแม่น้ำแควน้อย ซึ่งลักษณะของกำแพงเมืองด้านนี้ จะมีบางส่วนขยายออกไปตามแนวของแม่น้ำด้วย นอกจากนี้ยังพบสระน้ำ ทั้งหมด 6 สระ มีขนาดต่าง ๆ กันภายในบริเวณกำแพงเมืองสิงห์ มีการสำรวจพบโบราณสถาน เนื่องในศาสนาอยู่ 4 แห่ง แต่เนื่องจากเดิมไม่มีชื่อเรียก ฉะนั้นจึงเรียกชื่อว่า โบราณสถานหมายเลข 1 - 2 - 3 - 4 ตามลำดับดังนี้
โบราณสถานหมายเลข 1 มีองค์ประกอบทางด้านสถาปัตยกรรม คือชาลาด้านหน้ากำแพงแก้ว ลักษณะชาลาเป็นรูปกากบาท กำแพงแก้วและโคปุระ เชื่อมต่อกับชาลาด้านหน้าที่เป็นโคปุระทางเข้ากำแพงแก้ว ชาลาด้านหน้าโคปุระระเบียงคต ลักษณะเป็นทางเดินยกพื้น รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
โบราณสถานหมายเลข 2 ลักษณะเป็นกลุ่มอาคารที่สร้างอยู่บนฐานเดียวกัน เป็นฐานเขียงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าซ้อนกัน 2 ชั้น โบราณสถานจะถูกฉาบด้วยปูนขาว และมีลวดลายปูนปั้นประดับได้ค้นพบประติมากรรมหินทรายรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร นางปรัชญาปารมิตา และแหวนทอง
บราณสถานหมายเลข 3 โบราณสถานถูกลักลอบขุดทำลายจนทำให้ไม่สามารถศึกษารูปแบบทางด้านสถาปัตยกรรมที่ชัดเจนของโบราณสถานได้
โบราณสถานหมายเลข 4 จากการขุดแต่งพบลักษณะเป็นเพียงพื้นของอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืน สันนิษฐานว่าเป็นฐานราก ไม่สามารถกำหนดรูปทรงที่แน่นอนได้ เพราะพบแต่เพียงพื้นของโบราณสถาน
อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ นับเป็นการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานในรูปแบบและแนวทางของอุทยานประวัติศาสตร์แห่งแรกของกรมศิลปากรที่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ และเปิดบริการให้กับประชาชน และนักท่องเที่ยวโดยทั่วไปเข้าชม ศึกษาหาความรู้ ซึ่งเป็นการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานให้เกิดประโยชน์กับสาธารณะชนโดยทั่วไป