งานประเพณีไหลเรือไฟ หรือเฮือไฟจัดขึ้นในช่วงวันออกพรรษา บริเวณเชิงสะพานรัตนโกสินทร์ 200 ปี มีกิจกรรมที่น่าสนใจคือ การไหลเรือไฟของคุ้มวัดต่างๆ เป็นประเพณีที่จัดขึ้นทั่วไปในหลายจังหวัดในภาคอีสาน โดยเฉพาะ จังหวัดที่ตั้งอยู่ติดลำน้ำ เช่น แม่น้ำมูล–ชี แม่
ประวัติความเป็นมา งานประเพณีไหลเรือไฟ หรือ เฮือไฟ เป็นประเพณีที่จัดขึ้นทั่วไปในหลายจังหวัดในภาคอีสาน โดยเฉพาะ จังหวัดที่ตั้งอยู่ติดลำน้ำ เช่น แม่น้ำมูล–ชี แม่น้ำโขง เป็นต้น การไหลเรือไฟในภาคอีสานเริ่มต้นครั้งแรก เมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด สันนิษฐานว่าคงมีมาก่อนที่พุทธศาสนาจะเผยแพร่มาสู่ประเทศไทย เพราะสมัยก่อนกษัตริย์ไทยยึดถือพิธีพราหมณ์อยู่ โดยได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียสมัยที่นำอารยธรรม เข้ามาเผยแพร่ในแถบสุวรรณภูมิ พบว่าประเพณีงานบุญโดดเด่นที่จัดขึ้นในภาคอีสานมักผูกพันกับเรื่อง ของไฟเกือบทั้งสิ้น เช่น งานแห่เทียนเข้าพรรษา บุญบั้งไฟ พิธีไหลเรือไฟ เพราะมีความเชื่อว่า “ ไฟ ” เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งในศาสนาพราหมณ์ เรียกว่า เทพอัคคี มีฐานะรองจากพระอินทร์ สามารถเผาผลาญ สิ่งชั่วร้ายและขจัดความทุกข์ยากให้ดับสลายไปได้ จังหวัดต่างๆ ที่มีการจัดประเพณีไหลเรือไฟ เช่น จังหวัดศรีษะเกษ จังหวัดเลย จังหวัดนครพนม จังหวัดหนองคาย จังหวัดอุบลราชธานี ฯลฯ มักจัดขึ้น คล้ายคลึงกัน แต่ก็แตกต่างกันในด้านคติ ความเชื่อ จังหวัดอุบลราชธานี มีความเชื่อว่า
- เป็นการบูชารอยพระพุทธบาท
- เป็นการบูชาพระรัตนตรัยและพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ อันได้แก่ พระกกุสันโธ พระโกนาคมโน พระกัสสโป พระโคนโม และพระอาริยเมตไตรย
- เป็นการบูชาคุณแม่โพสพ คือ บูชาพานข้าว
- เป็นการบูชาประทีปตามประเพณี
- เป็นการบูชาดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ
ในความเชื่อเรื่อง การบูชาบรรพบุรุษ หรือพกาพรหม ปรากฏตามนิทานชาวบ้านที่เล่าสืบต่อกันมาว่า ครั้งหนึ่งมีกาเผือกสองผัวเมียทำรังอาศัยอยู่บนต้นไม้ในป่าหิมพานต์ใกล้กับ ฝั่งแม่น้ำ วันหนึ่งกาตัวผู้บิน จากรังไปหากินเผอิญหลงทางกลับรังไม่ได้ จึงบินกระเจิดกระเจิงหายไป กาตัวเมียที่กำลังกกไข่อยู่ 5 ฟอง จึงเสียใจจนตายไป และไปเกิดใหม่ในพรหมโลก ชื่อท้าวพกาพรหม
ส่วนไข่ทั้ง 5 ฟอง มีผู้นำไปรักษาไว้ดังนี้ ฟองแรกแม่ไก่เอาไป ฟองที่ 2 แม่นาคเอาไป ฟองที่ 3 แม่เต่าเอาไป ฟองที่ 4 แม่โคเอาไป และฟองสุดท้ายแม่ราชสีห์เอาไป ครั้นเมื่อไข่ครบกำหนดฟักแตก ออกมากลับเป็นมนุษย์ไม่ใช่ลูกกาตามปกติ ครั้นเมื่อทั้ง 5 โตเป็นหนุ่มเห็นโทษของการเป็นฆราวาสและ เห็นถึงอานิสงส์แห่งการบรรพชา จึงได้ลามารดาเลี้ยงออกบวชเป็นฤาษีอยู่ในป่าหิมพานต์ วันหนึ่งฤาษีทั้ง 5 ได้มาพบกันจึงได้ไต่ถามเรื่องราวของกันและกัน และพร้อมใจกันอธิษฐานว่า ถ้าต่อไปจะได้เป็นองค์ สมเด็จพระพุทธเจ้าขอให้ร้อนไปถึงมารดาด้วยแรงอธิษฐานครั้งนั้นได้ร้อนไปถึง ท้าวพกาพรหมต้องเสด็จ จากพรหมโลก จำแลงองค์เป็นกาเผือกบินมาเกาะบนต้นไม้ตรงหน้าฤาษีทั้ง 5 และเล่าเรื่องเดิมให้ฟังและ กล่าวว่า “ถ้าคิดถึงแม่ เมื่อถึงวันเพ็ญเดือน 11 และเดือน 12 ให้เอาด้ายดิบผูกไม้ตีนกาปักธูปเทียนบูชา ลอยกระทงในแม่น้ำเถิด ทำอย่างนี้เรียกว่า " คิดถึงแม่ " เมื่อบอกเสร็จท้าวพกาพรหมก็ลากลับไปจน กลายมาเป็นที่มาของการลอยกระทงและไหลเรือไฟ
กำหนดงาน จัดขึ้นในช่วงเทศกาลออกพรรษา ระหว่างขึ้น 15 ค่ำ ถึง วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11
กิจกรรม การทำเรือไฟในอดีตนั้น ทำด้วยไม้ไผ่และต้นกล้วย ยาวเพียง 5-6 วาเท่านั้น ความสูงไม่เกิน 1 เมตร และเป็นรูปเรือธรรมดา ทำราวไว้สองข้าง เพื่อวางขี้กะไต้ ตะเกียง หรือโคมไฟ มีการจัด ข้าวปลาอาหาร ขนมนมเนย ฝ้ายไน ไหมหลอด เสื่อผืน บรรจุไว้ข้างใน พอเวลาประมาณ 5 โมงเย็นจะเริ่ม ทำพิธีโดย นิมนต์พระมาสวดและหลังการรับศีล ฟังเทศน์ ไหว้พระเรียบร้อยแล้ว จึงให้ญาติโยมตกแต่งเรือด้วย ดอกไม้ ธูปเทียน ที่ถือไปบำเพ็ญกุศลนั่นเอง พอย่ำค่ำก็นำเรือไฟออกไปกลางแม่น้ำโขง แล้วจุดไฟ ปล่อยให้เรือไหลไปตามลำน้ำส่งแสงระยิบตาเลยทีเดียว ต่อมาการทำเรือไฟมีวิธีตกแต่งให้วิจิตรพิสดาร มากยิ่งขึ้นรู้จักนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาประกอบทำให้สามารถดัดแปลง เรือไฟให้มีรูปร่างแปลก ตาออกไปอีก ทั้งพระภิกษุ สามเณร ชาวบ้านแต่ละคุ้มวัดจะเตรียมจัดทำเรือไฟไว้ล่วงหน้าหลายวัน โดย นำเอาต้นกล้วยทั้งต้นมาเสียบไม้ต่อกันให้ยาว หลายวา วางขนานกันสองแถว กว้างห่างกันพอประมาณ แล้วนำไม้ไผ่เรียวยาวมาผูกไขว้กันเป็นตาราง สี่เหลี่ยมมีระยะห่างกันคืบเศษวางราบพื้น มัดด้วยลวดให้ แน่นและแข็งแรง เพื่อรอการออกแบบภาพบนแผงผู้ออกแบบแสดงความคิดสร้างสรรค์อย่างสวยงามที่สุด เช่น ประดิษฐ์เป็นเรื่องราวตามพระพุทธประวัติหรือสัตว์ในตำนานบ้างเป็นพญานาค ครุฑ หงส์ เป็นต้น แล้วนำไปปักติดเป็นเสาบนแพหยวกกล้วย ในอดีตเชื้อเพลิงที่ใช้จุดไฟนั้นใช้น้ำมันยาง ตระบอกขี้ผึ้ง สีน้ำมันพร้าว, น้ำมันสน, น้ำมันยางที่เจาะสกัดจากต้นยาง ตะแบกชาด แล้วเอาไฟลนไม้ให้น้ำมันไหล ออกมา แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นน้ำมันก๊าดหรือน้ำมันดีเซล บรรจุในขวดน้ำดื่มต่าง ๆ แล้วนำมาแขวนตาม โครงเรือ ซึ่งต้องอาศัยการคำนวณที่แม่นยำ เพราะถ้าติดกันมากเกินไปจะทำให้เรือไหม้ไฟ ส่วนโครงเรือ เป็นไม้มีขนาดใหญ่และเน้นความวิจิตรตระการตา เมื่อปล่อยเรือไฟลงน้ำโขงแล้ว จะมีความวิจิตรตระการ ตาสว่างไสวไปทั่วริมฝั่งแม่น้ำโขง อวดโฉมระยิบระยับ มีฉากหลังเป็นสีดำจากท้องฟ้าในยามค่ำคืน และ แสงที่สะท้องจากท้องน้ำเพิ่มความงดงามมากยิ่งขึ้น ก่อนที่จะมีการไหลเรือไฟ ในช่วงเช้าจะประกอบการ กุศลด้วยการทำบุญตักบาตร ถวายภัตตาหาร และเลี้ยงดูกัน ตกตอนบ่ายก็ตกแต่งเรือ และมีการเล่นสนุก สนานต่างๆ ตอนเย็นมีการสวดมนต์รับศีลและฟังเทศน์ พอตอนค่ำระหว่าง 19.00-20.00 น. จึงนำเรือออก ไปลงน้ำและพิธีไหลเรือไฟก็เริ่มขึ้น
งานประเพณีไหลเรือไฟของชาวอุบลฯ ได้ถือกำเนิดขึ้นจากบุคคล สำคัญ 3 คน คือ
1. นายคูณ ส่งศรี อายุ 73 ปี ถึงแก่กรรม 2490
2. นายโพธิ์ ส่งศรี อายุ 94 ปี ถึงแก่กรรม 2523
3. นายดวง ส่งศรี อายุ 83 ปี ถึงแก่กรรม 2516
ท่านทั้ง 3 เป็นพี่น้องกัน เป็นศรัทธาวัดทุ่งศรีเมือง ได้ประกอบพิธีไหลเรือไฟ โดยเอาถังประทีปที่ชาวบ้าน มาจุดบูชาที่วัดลอยที่แม่น้ำมูลในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ต่อมาได้พัฒนาจากถังประทีปมาเป็นเรืออย่าง เช่นที่อื่น ๆ และมาในช่วงที่ทหารอเมริกันมาประจำที่ฐานบิน จังหวัดอุบลฯในระหว่างปี 2507 เป็นต้นมา มีการใช้ถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร ทำทุ่นและใช้ไม้ไผ่เป็นลำมาติดถึงที่เคยเป็นรูปเรือก็ปรากฏเป็นรูปอื่น